วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ลักษณะ ช้างฉัททันต์(Chaddanta) - ช้าง ๖ งา

ตามอรรถกถาชาดกที่มีบันทึกในภาษาไทย ต่างบอกตามๆกันมาว่า ช้างฉัททันต์ มีงา ๑ คู่ ที่เปล่งแสง ๖ รัศมี ทว่า กลับไม่มีการขยายความว่า รัสมีนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่ง การแปลว่า มีงา ๑ คู่ ที่เปล่งแสง ๖ รัศมี นั้น เป็นการแปลเองโดยฝ่ายไทยเพียงข้างเดียว ไม่มีการเทียบเคียงกับหลักฐานอื่นใดจากต่างประเทศ ทั้งๆที่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสากล (เคย)รุ่งเรืองอยู่ในฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการค้นคว้า เราพบข้อมูลประกอบคำแปลที่แท้จริงของคำว่า ฉัททันต์ คือ ฉ แปลว่า ๖ / ทันต์ แปลว่า ฟัน ฉะนั้น ช้างฉัททันต์ตามความจริง จะต้องเป็นช้าง ๖ งา ซึ่งภาษาอังกฤษ เรียกลักษณะช้างชนิดนี้ว่า White Elephant Six Tusks แปลว่า ช้าง ๖ งา อย่างตรงตัว ซึ่งชื่อนี้เป็นที่ยอมรับกันในสากล จะมีก็แต่ไทยเท่านั้นที่ยังคงยึดว่า ช้างฉัททันต์นั้น มีงา ๑ คู่ ที่เปล่งแสง ๖ รัศมี(หากมีประเทศอื่นอีกต้องขออภัย) ซึ่งหลักฐานเก่าแกชิ้นหนึ่งเป็นภาพหินแกะสลักจากถ้ำหมายเลข ๑๐ ของถ้ำอชันตา(Ajanta)ซึ่งมีอายุราว พุทธศตรรษที่ ๗ ซึ่งมีความเก่าแก่พอที่จะยึดได้ว่า เป็นหลักฐานยืนยันลักษณะของช้างฉัททันต์ที่เก่าแก่และถูกต้องมากที่สุด และยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่วิหารHindagalaซึ่งวาดช้างฉัททันต์มี ๖ งา เช่นกัน






ภาพจากถ้ำ Jataka สังเกตดีๆจะเห็นการซ้อนกันของงาอยู่ ๓ งา
ภาพจากถ้ำ Jataka สังเกตดีๆจะเห็นการซ้อนกันของงาอยู่ ๓ งา


และจากข้อมูลนี้ ยืนยันได้ว่า งาทั้ง ๖ ของช้างฉัททันต์ มีสีทอง!!!

https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B4/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0-%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8Cchaddanta/560730674056079

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

นกหัสดีลิงค์(Hastilinga)

นกหัสดีลิงค์(หัสดี/หัสดิน)นั้นโบราณกำหนดไว้ ๒ แบบ คือ มีทั้งแบบหน้า(คล้าย)ช้างและหน้า(คล้าย)นกอินทรี

หากว่ากันตามจริงนั้น ไม่ต้องมาเถียงกันเลยว่า หน้าไหนแน่คือหน้าของนกหัสดีลิงค์ที่แท้จริง เพราะมันคือหน้าจริงทั้ง ๒ แบบ โดยแบ่งลักษณะของใบหน้าตามเพศของนก ดังนี้

นกทีหน้าคล้ายช้าง คือ นกหัสดีลิงค์เพศผู้[ปุริสหัสดีลิงค์]
นกที่หน้าคล้ายอินทรี คือ นกหัสดีลิงค์เพศเมีย[อิตถีหัสดีลิงค์]

ปุริสหัสดีลิงค์(ซ้าย) / อิตถีหัสดีลิงค์(ขวา)


    ส่วนงวงของนกหัสดีลิงค์(เพศผู้)นั้น คือ ส่วนของหงอน คล้ายกับไก่งวงเฉพาะตัวผู้ที่มีหงอนย้อยลงมาคล้ายงวงช้างส่วนตัวเมียไม่มีหงอนย้อยตรงนี้ จึงทำให้ภาพนกหัสดีลิงค์ในการออกแบบยุคหลังๆมานี้าดเพี้ยนเป็นนกหัวช้างไป(ภาพคู่ของนกหัสดีลิงค์ทางภาคเหนือวาดหน้านกเพศเมียไม่มีหงอน[งวง])


แต่ด้วยความคลาดเคลื่อนบางประการในการสื่อสาร อาจด้วยว่าผู้บันทึกและวาดภาพของนกหัสดีลิงค์โดยเฉพาะเพศผู้มองเห็นนกชนิดนี้ในระยะไกล(ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะอาจกลัวโดนเหยียบตายรึโดนจับกิน) รึอาจด้วยเห็นภาพจารึกของนกหัสดีลิงค์เพศผู้แบบผ่านๆ จึงทำให้ของลักษณะของนกหัสดีลิงค์เพศผู้ที่สืบทอดกันมาในงานจิตรกรรมโบราณของหลายชนชาติชั้นในหลังนั้นมีความคลาดเคลื่อนไป จนทำให้ออกแบบนกหัสดีลิงค์กลายเป็นนกหัวช้างไปในที่สุด



นกหัสดีลิงค์นั้นปรากฏตัวตนเป็นหลักฐานทางบันทึกครั้งสุดท้ายในสมัยพุทธกาล โดยอยู่ในช่วงต้นของประวัติพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ

ข้อมูลโดยรวมระบุว่า นกหัสดีลิงค์นี้เป็นนกยักษ์ที่กินทั้งเนื้อและซากศพเป็นอาหาร จึงชอบสีแดงเป็นพิเศษเพราะสีแดงนั้นดูเหมือนเนื้อสด ฉะนั้นเมื่อมนุษย์คลุมกายรึแต่งกายด้วยผ้าสีแดงจึงทำให้นกหัสดีลิงค์เข้าใจผิดว่าเป็นก้อนเนื้อจึงถูกโฉบตัวไปได้โดยง่าย มีกำลังเท่าช้าง ๕ เชือก และกินช้างเป็นอาหารด้วย นอกจากมีใบหน้าละม้ายช้างแล้ว นกยักษ์ชนิดนี้ยังมีเสียงร้องคล้ายช้างด้วย(โกญจนาท)คาดว่าใช้เสียงเพื่อลวงช้างให้สับสนจะได้จับกินโดยง่ายนั่นเอง นกหัสดีลิงค์นั้นมีขนตามลำตัวสีขาว แต่ขนบริเวณปีกจะมีสีน้ำตาล

เนื่องด้วยมีความผูกพันธ์กับศาสนาพุทธมาช้านาน นกชนิดนี้จึงมักปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้งตามวรรณคดีและนิทานพื้นบ้านด้วย

และเป็นไปได้ว่านกชนิดนี้ถูกบันทึกไว้ในนิทานอาหรับราตีภายใต้ชื่อว่า นกร็อค(Roc) ซึ่งใบหน้าของนกร็อคเพศผู้ที่ไร้หงอนต่างกับนกหัสดีลิงค์ น่าจะเป็นใบหน้าของนกหัสดีลิงค์ในวัยเยาว์ที่หงอนยังไม่ย้อยลงมา

อนึ่ง ในบันทึกการเดินทางของพระถังซำจั๋ง มีการกล่าวถึงเปลือกของไข่ขนาดยักษ์ ซึ่งเรียกว่า ไข่ใหญ่แห่งซีเรีย เปลือกไข่นี้น่าจะเป็นของนกร็อค หรือก็คือนกหัสดีลิงค์นี้นั่นเอง


ภาพวาดนกหัสดีลิงค์หลังจากวิเคราะห์ลักษระทางกายภาพตามลายเส้นในงานศิลป์ดั้งเดิม(พยายามมองมุมใหม่แต่ก็พยายามออกแบบให้อยู่ในรูปแบบเดิม)
ภาพวาดจำลองเหตุการณ์ ประวัติพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ(จะเห็นได้ว่า ศีรษะของนกหัสดีลิงค์ในภาพนี้มีความคล้ายคลึงกับนกมาก โดยมีหงอนลักษณะคล้ายงวงช้างแทนที่จะเป็นปากเป็นงวงช้างอย่างภาพวาดอื่น และมีการเติมหู เขี้ยว และงาเข้าไปจนดูสับสนนิดหน่อย แต่ให้ความรู้สึกที่ดูสมบูรณ์ไปอีกแบบ)
ภาพวาดนกหัสดีลิงค์คู่ จะสังเกตได้ว่า นกหัสดีลิงค์เพศเมียนั้นถึงจะไม่มีหงอนย้อยลงมาเหมือนเพศผู้แต่ก็มีหงอนลักษณะคล้ายตุ่มขนาดเล็กเช่นกัน
นกหัสดีลิงค์ งานสำริด ศิลปะยุคล้านนา โปรดสังเกตบริเวณปากนก จะเห็นได้ชัดเจนว่า ในยุคนั้น อิมเมจของนกหัสดีลิงค์ยังไม่มีงาช้าง คาดว่า งาช้างจะถูกแต่งเติมขึ้นมาในยุคหลังจนมีผลตอการบิดเบือนข้อมูลในยุคหลังๆจนกลายเป็นว่า นกหัสดีลิงค์นั้นมีงาเหมือนช้างด้วย

https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8Chastilinga/764822450313566