นกหัสดีลิงค์(หัสดี/หัสดิน)นั้นโบราณกำหนดไว้ ๒ แบบ คือ มีทั้งแบบหน้า(คล้าย)ช้างและหน้า(คล้าย)นกอินทรี
หากว่ากันตามจริงนั้น ไม่ต้องมาเถียงกันเลยว่า หน้าไหนแน่คือหน้าของนกหัสดีลิงค์ที่แท้จริง เพราะมันคือหน้าจริงทั้ง ๒ แบบ โดยแบ่งลักษณะของใบหน้าตามเพศของนก ดังนี้
นกทีหน้าคล้ายช้าง คือ นกหัสดีลิงค์เพศผู้[ปุริสหัสดีลิงค์]
นกที่หน้าคล้ายอินทรี คือ นกหัสดีลิงค์เพศเมีย[อิตถีหัสดีลิงค์]
 |
| ปุริสหัสดีลิงค์(ซ้าย) / อิตถีหัสดีลิงค์(ขวา) |
ส่วนงวงของนกหัสดีลิงค์(เพศผู้)นั้น คือ ส่วนของหงอน คล้ายกับไก่งวงเฉพาะตัวผู้ที่มีหงอนย้อยลงมาคล้ายงวงช้างส่วนตัวเมียไม่มีหงอนย้อยตรงนี้ จึงทำให้ภาพนกหัสดีลิงค์ในการออกแบบยุคหลังๆมานี้าดเพี้ยนเป็นนกหัวช้างไป(ภาพคู่ของนกหัสดีลิงค์ทางภาคเหนือวาดหน้านกเพศเมียไม่มีหงอน[งวง])
แต่ด้วยความคลาดเคลื่อนบางประการในการสื่อสาร อาจด้วยว่าผู้บันทึกและวาดภาพของนกหัสดีลิงค์โดยเฉพาะเพศผู้มองเห็นนกชนิดนี้ในระยะไกล(ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะอาจกลัวโดนเหยียบตายรึโดนจับกิน) รึอาจด้วยเห็นภาพจารึกของนกหัสดีลิงค์เพศผู้แบบผ่านๆ จึงทำให้ของลักษณะของนกหัสดีลิงค์เพศผู้ที่สืบทอดกันมาในงานจิตรกรรมโบราณของหลายชนชาติชั้นในหลังนั้นมีความคลาดเคลื่อนไป จนทำให้ออกแบบนกหัสดีลิงค์กลายเป็นนกหัวช้างไปในที่สุด

นกหัสดีลิงค์นั้นปรากฏตัวตนเป็นหลักฐานทางบันทึกครั้งสุดท้ายในสมัยพุทธกาล โดยอยู่ในช่วงต้นของประวัติพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ
ข้อมูลโดยรวมระบุว่า นกหัสดีลิงค์นี้เป็นนกยักษ์ที่กินทั้งเนื้อและซากศพเป็นอาหาร จึงชอบสีแดงเป็นพิเศษเพราะสีแดงนั้นดูเหมือนเนื้อสด ฉะนั้นเมื่อมนุษย์คลุมกายรึแต่งกายด้วยผ้าสีแดงจึงทำให้นกหัสดีลิงค์เข้าใจผิดว่าเป็นก้อนเนื้อจึงถูกโฉบตัวไปได้โดยง่าย มีกำลังเท่าช้าง ๕ เชือก และกินช้างเป็นอาหารด้วย นอกจากมีใบหน้าละม้ายช้างแล้ว นกยักษ์ชนิดนี้ยังมีเสียงร้องคล้ายช้างด้วย(โกญจนาท)คาดว่าใช้เสียงเพื่อลวงช้างให้สับสนจะได้จับกินโดยง่ายนั่นเอง นกหัสดีลิงค์นั้นมีขนตามลำตัวสีขาว แต่ขนบริเวณปีกจะมีสีน้ำตาล
เนื่องด้วยมีความผูกพันธ์กับศาสนาพุทธมาช้านาน นกชนิดนี้จึงมักปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้งตามวรรณคดีและนิทานพื้นบ้านด้วย
และเป็นไปได้ว่านกชนิดนี้ถูกบันทึกไว้ในนิทานอาหรับราตีภายใต้ชื่อว่า นกร็อค(Roc) ซึ่งใบหน้าของนกร็อคเพศผู้ที่ไร้หงอนต่างกับนกหัสดีลิงค์ น่าจะเป็นใบหน้าของนกหัสดีลิงค์ในวัยเยาว์ที่หงอนยังไม่ย้อยลงมา
อนึ่ง ในบันทึกการเดินทางของพระถังซำจั๋ง มีการกล่าวถึงเปลือกของไข่ขนาดยักษ์ ซึ่งเรียกว่า ไข่ใหญ่แห่งซีเรีย เปลือกไข่นี้น่าจะเป็นของนกร็อค หรือก็คือนกหัสดีลิงค์นี้นั่นเอง
 |
| ภาพวาดนกหัสดีลิงค์หลังจากวิเคราะห์ลักษระทางกายภาพตามลายเส้นในงานศิลป์ดั้งเดิม(พยายามมองมุมใหม่แต่ก็พยายามออกแบบให้อยู่ในรูปแบบเดิม) |
 |
| ภาพวาดจำลองเหตุการณ์ ประวัติพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ(จะเห็นได้ว่า ศีรษะของนกหัสดีลิงค์ในภาพนี้มีความคล้ายคลึงกับนกมาก โดยมีหงอนลักษณะคล้ายงวงช้างแทนที่จะเป็นปากเป็นงวงช้างอย่างภาพวาดอื่น และมีการเติมหู เขี้ยว และงาเข้าไปจนดูสับสนนิดหน่อย แต่ให้ความรู้สึกที่ดูสมบูรณ์ไปอีกแบบ) |
 |
| ภาพวาดนกหัสดีลิงค์คู่ จะสังเกตได้ว่า นกหัสดีลิงค์เพศเมียนั้นถึงจะไม่มีหงอนย้อยลงมาเหมือนเพศผู้แต่ก็มีหงอนลักษณะคล้ายตุ่มขนาดเล็กเช่นกัน |
นกหัสดีลิงค์ งานสำริด ศิลปะยุคล้านนา โปรดสังเกตบริเวณปากนก จะเห็นได้ชัดเจนว่า ในยุคนั้น อิมเมจของนกหัสดีลิงค์ยังไม่มีงาช้าง คาดว่า งาช้างจะถูกแต่งเติมขึ้นมาในยุคหลังจนมีผลตอการบิดเบือนข้อมูลในยุคหลังๆจนกลายเป็นว่า นกหัสดีลิงค์นั้นมีงาเหมือนช้างด้วย
https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8Chastilinga/764822450313566
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น